ในสมัยรัชกาลที่ 5
ประเทศไทยเริ่มต้นพัฒนาทางเศรษฐกิจขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
เพราะเป็นผลมาจากการติดต่อกับต่างประเทศอย่างกว้างขวาง โดยปัจจัยที่เป็นแรงผลักดันให้มีการปฏิรูปทางเศรษฐกิจ
มีดังต่อไปนี้
การปรับตัวเข้าสู่ความทันสมัยตามแบบตะวันตก
เพื่อให้รอดพ้นจากการคุกคามของชาติมหาอำนาจตะวันตกนั้น
จำเป็นต้องอาศัยเงินทุนเป็นจำนวนมหาศาล มิฉะนั้นการปฏิรูปจะดำเนินต่อไปไม่ได้
ดังนั้นการปฏิรูปเศรษฐกิจเพื่อให้รัฐมีรายได้เพียงพอต่อการปฏิรูปแผ่นดิน
ครั้งใหญ่จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
ปัญหาการคลังที่ล้าสมัย
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประสบอยู่ในขณะเสด็จขึ้นครองราชย์
จำเป็นจะต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็ว เพราะไม่สนองตอบต่อนโยบายปฏิรูปแผ่นดินในทุกๆ
ด้าน เพราะรัฐมีรายได้ไม่เพียงพอ เนื่องจากระบบการคลังขาดประสิทธิภาพ
รายได้ของรัฐมีทางรั่วไหลมาก
ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงปฏิรูปเศรษฐกิจ
อย่างเร่งด่วน ดังนี้
2.1 การปฏิรูปการคลัง
ระบบการคลังเดิมนั้นไม่สามารถตรวจสอบและควบคุมการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงปฏิรูปการคลังดังต่อไปนี้
จัดตั้งหอรัษฏากรพิพัฒน์
โดยมุ่งหมายจะให้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมพระราชทรัพย์ ซึ่งขึ้นอยู่ตามท้องพระคลัง
จึงเป็นก้าวแรกของการปฏิรูปทางด้านการคลัง
เพราะเป็นการเริ่มต้นรวมงานการเก็บภาษีอากรมาไว้ที่หอรัษฏากรพิพัฒน์ เพื่อให้เก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพของเจ้าพนักงานและเจ้าภาษีนายอากร
ตลอดจนวางระบบป้องกันการทุจริตของเจ้าพนักงาน
เงินภาษีอากรทั้งหมดจะต้องถูกส่งไปเก็บไว้ในท้องพระคลังทั้งหมด
ก่อนที่จะแจกจ่ายให้กรมกองต่างๆ ใช้ในกิจการของตน
หอรัษฎากรพิพัฒน์
ประกาศใช้ พ.ร.บ.กรมพระคลังมหาสมบัติ ใน
พ.ศ.2418 โดยจุดมุ่งหมายเพื่อจัดระเบียบราชการในกรมพระคลังมหาสมบัติให้รัดกุมยิ่งขึ้น
โดยกำหนดวิธีการส่งเงิน รับเงิน ตรวจเงิน
และการจัดลำดับตำแหน่งข้าราชการรับผิดชอบงานในระดับต่างๆ
ตลอดจนกำหนดระเบียบปฏิบัติของเจ้าภาษีนายอากร
และผู้เกี่ยวข้องในการส่งเงินต่อพระคลังมหาสมบัติ
โปรดให้จัดระเบียบการจัดทำงบประมาณขึ้น
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความสำคัญของการจัดทำงบประมาณ
รายรับและรายจ่ายในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการ
ปฏิบัติราชการ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศใช้พระราชบัญญัติวิธีการงบประมาณ เพราะแต่เดิมไม่มีการจัดทำงบประมาณรายรับรายจ่ายล่วงหน้า
และต่อมาใน พ.ศ.2434 โปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบการจัดทำงบประมาณขึ้น
เพื่อเป็นหลักในการจัดสรรเงินให้แก่กระทรวงต่างๆ ให้เป็นสัดส่วนกัน
การจัดระเบียบการจัดทำงบประมาณดังกล่าว ทำให้รัฐบาลสามารถจัดพิมพ์งบประมาณรายรับรายจ่ายแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรกใน
พ.ศ.2444
โปรดให้แยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์
ในการจัดระเบียบการคลังและจัดทำงบประมาณในครั้งนี้
ได้มีการแยกรายจ่ายส่วนพระองค์ออกจากรายจ่ายของแผ่นดินหรือรายจ่ายเพื่อ สาธารณะ
และใน พ.ศ.2441 ได้มีการแยกพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ออกจากทรัพย์สินของแผ่นดิน
แล้วมอบให้พระคลังข้างที่เป็นฝ่ายบริหารพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ต่อไป
การปฏิรูประบบเงินตรา
เนื่องจากการค้าได้ขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง รัชกาลที่ 5
จึงทรงเห็นความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงระบบเงินตราให้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายที่ทันสมัย
ดังเช่นที่ประเทศตะวันตกปฏิบัติกันอยู่
เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการซื้อขายยิ่งขึ้น โดยมีการปฏิรูปเงินตราดังนี้
พ.ศ.2422
โปรดเกล้าฯให้สร้างหน่วยเงินที่เรียกว่า “สตางค์”
ขึ้นใช้ โดยกำหนดให้ 100 สตางค์ เป็น 1 บาท
พร้อมทั้งผลิตเหรียญสตางค์ขึ้น 4 ราคา คือ 20 สตางค์ 10 สตางค์ 5 สตางค์ และ 2 1/2
สตางค์ ใช้ปนกับเงินซีก เสี้ยว อัฐ ต่อมาในปลายรัชกาล โปรดให้ยกเลิกเงินเฟื้อง ซีก
เสี้ยว อัฐ และโสฬส ซึ่งเป็นเงินตราแบบเดิม
พ.ศ.2445 โปรดเกล้าฯให้ตราพระราชบัญญัติธนบัตร
ร.ศ.121 และจัดตั้งกรมธนบัตรขึ้น เพื่อทำหน้าที่ในการออกธนบัตรให้มีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอกรม หมื่นมหิศรราชหฤทัย
ทรงดำริที่จะจัดตั้งธนาคารของคนไทยเพื่อสนับสนุนการค้าและเศรษฐกิจของคนไทย
ให้ก้าวหน้าทัดเทียมกับชาวต่างประเทศ จึงได้ทรงเริ่มต้นด้วยการจัดตั้ง “บุคคลัภย์”
(ฺBook Club) ขึ้นก่อน เมื่อ วันที่ 4 ตุลาคม 2447
และทดลองดำเนินกิจการภายในประเทศเท่านั้น ต่อมาเมื่อกิจการดำเนินไปด้วยดี
และได้รับความเชื่อถือจากประชาชน จึงได้เปลี่ยนจาก “บุคคลัภย์”มาเป็นแบงค์
ใช้ชื่อว่า แบงก์สยามกัมมาจล มีนโยบายเช่นเดียวกับธนาคารต่างประเทศ นับเป็นธนาคารแห่งแรกของประเทศที่ตั้งขึ้นมาด้วยเงินทุนของคนไทย
ต่อมาธนาคารนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น